ถ้าหากนึกถึงมหาเศรษฐีในเมืองไทยหลายๆ ท่าน คงหนีไม่พ้นที่จะนึกถึง คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของกิจการไทยเบฟ หรือไม่ว่าจะเป็น คุณธนินท์ เจียรวนนท์ เจ้าพ่อซีพี และร้านสะดวกซื้อชื่อดังอย่าง 7-11 หรือบางท่านอาจจะนึกถึงครอบครัวจิราธิวัฒน์ เจ้าของห้างชื่อดังอย่างเซ็นทรัล แต่หลายๆ ท่านอาจจะยังไม่รู้จัก คุณกฤตย์ รัตนรักษ์ ว่าเค้าคนนี้เป็นใคร ทำอะไรมาบ้าง แต่ถ้าได้ยินชื่อธุรกิจที่เค้าเป็นเจ้าของ อาจจะถึงขั้น บางอ้อ….มาเลยทีเดียว วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับ คุณกฤตย์ รัตนรักษ์ มหาเศรษฐี 50,000 ล้านกัน

คุณกฤตย์ รัตนรักษ์ เป็นบุตรชายโตคนเดียว ในจำนวนพี่น้อง 6 คนทั้งหมด ของนายชวน รัตนรักษ์ และนางศศิธร รัตนรักษ์ ได้เข้ารับศึกษาที่โรงเรียนอัสสัมชัญ พบจบการศึกษาระดับมัธยม ก็ได้ไปศึกษาต่อที่ มหาวิทยาลัยอีสเทิร์น นิวเม็กซิโก โดยบิดานายชวน รัตนรักษ์ ได้เป็นผู้ก่อตั้งธนาคารกรุงศรีอยุธยา ปูนซิเมนต์นครหลวง หรืออีกชื่อที่เราคุ้นเคยกันดีว่า “ปูนอินทรี” และกรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ (BBTV) ก็คือสถานีโทรทัศน์ช่อง 7HD หรือช่อง 7 สี และอื่นๆ อีกมากมาย หลังจากที่บิดาคุณชวน รัตนรักษ์ ได้เสียชีวิตลง เมื่อปี พ.ศ. 2536 คุณกฤตย์ จึงรับช่วงต่อจากนั้นเป็นต้นมา

ชีวิตการทำงานได้เริ่มต้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 โดยเริ่มจากการทำงานในธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นธุรกิจที่ครอบครัวรัตนรักษ์เป็นคนก่อตั้งขึ้นมา พอเริ่มทำงานสะสมประสบการณ์ได้สักระยะหนึ่งในปี พ.ศ. 2525 ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นประธานธนาคาร และในปี พ.ศ. 2533 ก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) พอในปี พ.ศ. 2536 คุณกฤตย์ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ (CEO) ของหลายบริษัท เช่น ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ประธานบริษัทกรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด, ประธานบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) และประธานบริษัท ศรีอยุธยา ประกันภัย และเมื่อในปี พ.ศ. 2539 ช่วงก่อนวิกฤติต้มยำกุ้งธนาคารกรุงศรีอยุธยามีมูลค่าหุ้นในตลาดรวมอยู่ที่ประมาณ 140,000 ล้านบาท และพอเข้าสู่ในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งปี พ.ศ. 2540
คุณกฤตย์ก็ได้ใช้กลยุทธ์ ประสบการณ์ และความสามารถช่วยให้ธุรกิจที่ครอบครัวรัตนรักษ์บริหารอยู่ทั้งหมดรอดพ้นจากวิกฤติในครั้งนั้นมาได้ ด้วยการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นในธนาคารกรุงศรีอยุธยา และกลุ่มบริษัทที่ตนกำลังบริหารอยู่ ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวนอกจากจะช่วยรักษากิจการไว้ได้แล้ว ยังช่วยปรับปรุงการดำเนินงานของธนาคารต่อมาภายหลังวิกฤติเศรษฐกิจอีกด้วย จนมาถึงในปี พ.ศ. 2544 ได้เปิดตัว บีบีทีวี โปรดัคชันส์ คือบริษัทในเครือของช่อง 7 เพื่อทำธุรกิจโฆษณาทางโทรทัศน์ และรับจ้างผลิตละครโทรทัศน์ และเข้าไปทยอยถือหุ้นของ MATCH มานานหลายปี ซึ่งต้องขอย้อนไปเล่าถึงที่มาที่ไปของ MATCH

“MATCH” หรือ บริษัท แม็ทชิ่ง แม็กซิไมซ์ โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งโดย คุณสมชาย ชีวสุทธานนท์ หรือที่รู้จักกันในวงการว่า “ตี๋ แม็ทชิ่ง” ตัวพ่อแห่งวงการ Evet เมืองไทย ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2535 เป็นธุรกิจผลิตรายการโทรทัศน์ ให้เช่าอุปกรณ์ในการถ่ายทำ บริการและให้เช่าสถานที่ถ่ายทำ ธุรกิจ Post Production และผลิตภาพยนตร์ แต่เนื่องจากมีผลประกอบการไม่ค่อยดีสักเท่าไร จึงได้ออกจากตำแหน่งผู้บริหารเมื่อปี พ.ศ. 2555 พร้อมกับหลีกทางให้ช่อง 7 เข้ามาบริหารต่อตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

และเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556 มาร์ค จอห์น อาร์โนลด์ ซีอีโอธนาคารกรุงศรีอยุธยา ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งพร้อมๆ กับเจตจำนงในการขายหุ้นที่ถืออยู่ 25% เศษของกลุ่มจีอี เพื่อนำเงินกลับ ทำให้ตำแหน่งซีอีโอของธนาคารกรุงศรีอยุธยา
กลับตกมาอยู่กับ “กฤตย์ รัตนรักษ์” อีกครั้ง ในฐานะเจ้าของธนาคารกรุงศรีอยุธยาตัวจริง ด้วยความสามารถ และกลยุทธ์ต่าง ๆ
ของคุณกฤตย์ ได้ทำการสะสมซื้อกิจการธนาคารรายย่อย ๆ ภายใต้ของกลุ่มจีอี ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารเอไอจี เพื่อรายย่อย และบริษัท เอไอจีคาร์ด (ประเทศไทย), บริษัท ซีเอฟจี เซอร์วิสเซส ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป อิงค์, อี มันนี่
ประเทศไทย ภายใต้แบรนด์สินเชื่อส่วนบุคคล “เฟิร์สช้อยส์”  และสินเชื่อรายย่อยทั้งหมดจากธนาคารเอชเอสบีซีในไทย และอื่นๆ
อีกมากมาย ไม่เพียงการซื้อดะเมื่อสบช่องเจอของดีราคาถูก จีอีได้วางขุมกำลังภายในให้กับธนาคารกรุงศรีฯ มีการปรับจัดทัพผู้บริหารใหม่ เพิ่มน้ำหนักธุรกิจลูกค้ารายย่อยและเดินหน้าตรง จนวันนี้ธนาคารกรุงศรีฯ ผงาดขึ้นมาอยู่ในแถวหน้าจนก้าวพรวดขึ้นมาเป็นอันดับ 5 ของประเทศ แต่ใครจะไปรู้เมื่อกลุ่มจีอีขายหุ้นเพื่อกลับไปช่วยบริษัทแม่ที่สหรัฐ ด้วยการขายหุ้นของธนาคารที่ถืออยู่ทั้งหมด 25%  ทำให้สถานการณ์ได้พลิกกลับ โอกาสตกอยู่ในกลุ่มรัตนรักษ์ เจ้าของรายเก่ากลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุด 30% คิดเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าหุ้นที่กลุ่มจีอีถืออยู่ในขณะนี้

เมื่อมองย้อนกลับไปช่วงปี พ.ศ. 2540 ช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งสถาบันการเงินไทยหลายแห่งถูกต่างชาติเข้าซื้อกิจการและสูญเสียสถานภาพการเป็นสถาบันการเงินของคนไทยไป แต่คุณกฤตย์ กลับพาธนาคารกรุงศรีฯ ให้ฝ่าวิกฤตไปได้ โดยยังเป็นธนาคารของคนไทย ซึ่งนั่นหมายถึงต้นทุนจำนวนมหาศาล กลุ่มรัตนรักษ์จึงมีแนวโน้มคงอัตราการถือครองหุ้นของธนาคารไว้ และถูกจัดให้เป็น 1 ใน 3 ตระกูลสำคัญ ที่มีบทบาทในภาคการธนาคารของไทย ร่วมกับอีก 2 ตระกูล คือ

– ตระกูลโสภณพานิช ที่มีบทบาทในธนาคารกรุงเทพ กรุงเทพประกันชีวิต กรุงเทพประกันภัย

– ตระกูลล่ำซำ ที่มีบทบาทในธนาคารกสิกรไทย เมืองไทยประกันภัย เมืองไทยประกันชีวิต

ถึงตรงนี้ เราก็คงจะเห็นได้ว่าคุณกฤตย์ และตระกูลรัตนรักษ์นั้น ถือเป็นหนึ่งในนักธุรกิจ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนไทย จึงไม่แปลกเลย ที่คุณกฤตย์ รัตนรักษ์ จะมีถูกจัดให้เป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของเมืองไทย