ในยุคโลกาภิวัตน์ที่การค้าระหว่างประเทศมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ประเทศต่างๆ ได้พัฒนารูปแบบความร่วมมือทางการค้าที่หลากหลาย โดยมีเป้าหมายหลักคือการลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน การลดข้อจำกัดทางการค้าเหล่านี้ก่อให้เกิดผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบต่อเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก
ผลกระทบของการเปิดเสรีทางการค้า
การลดข้อจำกัดทางการค้าก่อให้เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะในแง่ของการเพิ่มการค้าตามหลักความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ และการเพิ่มการแข่งขันระหว่างธุรกิจในประเทศสมาชิก อย่างไรก็ตาม ผลกระทบด้านลบอาจเกิดขึ้นกับบางภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม หรือกลุ่มแรงงานที่อาจสูญเสียรายได้และความมั่งคั่ง ทำให้แรงงานในภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบต้องพัฒนาทักษะใหม่เพื่อหางานใหม่
รูปแบบของข้อตกลงทางการค้า
1. เขตการค้าเสรี (Free Trade Areas)
- ยกเลิกอุปสรรคการนำเข้าและส่งออกสินค้าและบริการระหว่างประเทศสมาชิก
- ตัวอย่างเช่น ข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA)
2. สหภาพศุลกากร (Customs Union)
- ยกเลิกอุปสรรคการค้าระหว่างประเทศสมาชิก
- กำหนดนโยบายการค้ากับประเทศนอกกลุ่มร่วมกัน
3. ตลาดร่วม (Common Market)
- รวมคุณสมบัติของสหภาพศุลกากร
- เพิ่มการเคลื่อนย้ายแรงงานและทุนอย่างเสรีระหว่างประเทศสมาชิก
4. สหภาพเศรษฐกิจ (Economic Union)
- รวมคุณสมบัติของตลาดร่วม
- จัดตั้งสถาบันร่วมและกำหนดนโยบายเศรษฐกิจร่วมกัน
- ตัวอย่างเช่น สหภาพยุโรป (EU)
5. สหภาพการเงิน (Monetary Union)
- รวมคุณสมบัติของสหภาพเศรษฐกิจ
- ใช้สกุลเงินร่วมกัน
- ตัวอย่างเช่น ยูโรโซน (Euro Zone)
การควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุน
รัฐบาลของประเทศต่างๆ มักมีการกำหนดข้อจำกัดในการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าออกประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์หลักดังนี้:
1. ลดความผันผวนของราคาสินทรัพย์ในประเทศ
ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ การไหลออกของเงินทุนอาจทำให้ราคาสินทรัพย์ โดยเฉพาะสินทรัพย์สภาพคล่องสูงเช่นหุ้นและพันธบัตร ลดลงอย่างรุนแรง การควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุนช่วยลดความผันผวนนี้ได้
2. รักษาอัตราแลกเปลี่ยนคงที่
สำหรับประเทศที่ใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ การจำกัดการเคลื่อนย้ายเงินทุนช่วยให้สามารถรักษาเป้าหมายอัตราแลกเปลี่ยนได้ง่ายขึ้น และสามารถใช้นโยบายการเงินและการคลังเพื่อจัดการเศรษฐกิจภายในประเทศได้อย่างอิสระ
3. รักษาอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศให้ต่ำ
การจำกัดการไหลออกของเงินทุนช่วยให้ประเทศสามารถรักษาอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศให้ต่ำได้ เนื่องจากนักลงทุนไม่สามารถนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ตัวอย่างเช่น ประเทศจีนที่ใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่และควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุน
4. ปกป้องอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์
รัฐบาลอาจห้ามการลงทุนจากต่างชาติในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงของประเทศ เช่น อุตสาหกรรมโทรคมนาคมและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
สรุป
การเลือกใช้รูปแบบความร่วมมือทางการค้าและมาตรการควบคุมเงินทุนที่เหมาะสมเป็นความท้าทายสำคัญของผู้กำหนดนโยบาย เนื่องจากต้องชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์ที่จะได้รับจากการเปิดเสรีทางการค้าและการเงิน กับความจำเป็นในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ